ลำดับขั้นตอนของการทำรายงาน
ขั้นที่ ๑ การเลือกเรื่อง
ถ้าผู้เขียนรายงานเลือกหัวข้อเรื่องเอง ควรเลือกเรื่องที่ตนสนใจที่สุด เรื่องที่มีประโยชน์ และค้นคว้าได สะดวก (เอกสารค้นคว้าเพียงพอ) และที่สำคัญคือเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับเวลาที่กำหนดให้
การเขียนรายงานเชิงวิชาการทุกครั้ง นักเรียนต้องมี “หัวข้อเรื่อง” ที่จะเขียนก่อน โดยมี หลักในการเลือกหัวข้อเรื่องดังนี้
๑.๑ ควรเป็นเรื่องที่นักเรียนสนใจที่สุด
๑.๒ ควรเป็นหัวข้อเรื่องที่นักเรียนสามารถค้นคว้าหาข้อมูลได้ง่าย หัวข้อรายงานที่ไม่สามารถหาข้อมูลอ้างอิงได้ จะทำให้รายงานขาดความน่าเชื่อถือ เช่น หัวข้อต่อไปนี้
ผีมีจริงหรือไม่
ไสยศาสตร์ช่วยรักษาโรคได้จริงหรือ
มนุษย์ดาวอังคารบุกโลก
หัวข้อดังกล่าวไม่สามารถพิสูจน์ได้ มักจะเป็นเรื่องประสบการณ์เฉพาะตน หรือยังไม่เป็นเรื่องที่มีการรายงานที่น่าเชื่อถือต่อสาธารณชน จึงถือว่าเป็นหัวข้อที่ค้นคว้าหาข้อมูลไม่ได้
คำว่า “สามารถค้นคว้าหาข้อมูลได้” หมายความว่ามีแหล่งค้นคว้ามากพอ มีหนังสือให้ค้นคว้าหลายเล่ม ถ้าเล่มเดียวถือว่าเป็นการ “คัดลอก” หรือ “ตัดตอน” หรือ “สรุปความ” มาจากหนังสือเล่มนั้น ผิดวัตถุประสงค์ของการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
๑.๓ ไม่ควรเป็นหัวข้อเรื่องที่มีขอบเขตกว้างจนเกินไป เช่น
ประวัติศาสตร์ชาติไทย
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงระดับการเรียนของผู้เขียนรายงาน ระยะเวลาที่ให้ศึกษาค้นคว้า จุดมุ่งหมายของการเขียนรายงาน ถ้ามีความรู้น้อย มีเวลาน้อย ควรเลือกเรื่องที่ไม่กว้างเกินไป และตัวเองมีความสนใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จะทำให้เขียนรายงานได้สำเร็จด้วยดี
คำว่า “หัวข้อเรื่อง” หมายถึงการกำหนดหัวข้อเรื่องเพื่อกำหนดแนวเรื่องที่จะเขียน เมื่อเขียนเสร็จแล้วอาจตั้งชื่อใหม่ให้น่าสนใจยิ่งขึ้นก็ได้ และจะได้ให้ตรงกับเนื้อเรื่องมากขึ้น
ขั้นที่ ๒ การกำหนดจุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่อง
หลังจากที่หาหัวข้อเรื่องที่จะเขียนรายงานทางวิชาการได้แล้ว ต้องคิดต่อไปว่าจะเขียนในแง่มุมใด และต้องการเสนออะไรแก่ผู้อ่าน นี่คือการหาจุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่อง ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กัน คือ ต้องไม่เขียนเกินขอบเขตที่กำหนดไว้ และต้องครอบคลุมจุดมุ่งหมายของผู้เขียน
ตัวอย่างหัวข้อที่ จุดมุ่งหมายและขอบเขตของเรื่องสัมพันธ์กัน
หัวข้อ "การวัดปริมาณน้ำฝน"
จุดมุ่งหมาย เพื่อให้ทราบวิธีการวัดปริมาณน้ำฝนของกรมอุตุนิยมวิทยาและประโยชน์จากการวัดปริมาณน้ำฝน
ขอบเขต กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการวัดปริมาณน้ำฝน, เครื่องมือเครื่องใช้, วิธีการวัด และประโยชน์จากการวัดปริมาณน้ำฝน
ขั้นที่ ๓ วิธีการค้นคว้า และบันทึกข้อมูล
สำรวจดูว่าจากหัวข้อเรื่อง จุดมุ่งหมาย และขอบเขตที่กำหนดไว้แล้วนั้น สามารถหาข้อมูลจากที่ใดบ้าง ซึ่งอาจหาได้จากหนังสือ วารสาร เอกสารต่าง ๆ สิ่งพิมพ์ สารานุกรม ผลงานการวิจัย ปริญญานิพนธ์ต่าง ๆ หรือจากการสัมภาษณ์ จากการไปสังเกตด้วยตนเอง จากประสบการณ์ตรง พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์สัตว์ ฯลฯ ผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องมีทักษะเรื่องการใช้ห้องสมุด และมีการกำหนดหัวข้อ จุดมุ่งหมาย และขอบเขตของเรื่องไว้ชัดเจน จึงจะค้นคว้าได้รวดเร็ว เมื่อรวบรวมชื่อหนังสือได้มากพอแล้ว ขั้นต่อไปก็คืออ่านและพิจารณาว่า ข้อมูลส่วนใดที่จะนำมาใช้อ้างอิงได้ ก็ให้บันทึกไว้ในบัตรจดบันทึก เวลาอ่านไม่จำเป็นต้องอ่านละเอียด กวาด ๆ สายตาดู ถ้าเจอหัวข้อที่ต้องการก็จดบันทึกไว้
ขั้นที่ ๔ การทำโครงเรื่อง
การทำโครงเรื่อง คือการแยกหัวข้อเรื่องออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ซึ่งเมื่อเขียนรายละเอียดของแต่ละหัวข้อแล้ว ก็จะได้รายงานทางวิชาการทั้งเรื่อง การทำโครงเรื่องจะช่วยป้องกันไม่ให้เขียนออกนอกเรื่อง ช่วยให้รู้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไร เขียนไปในทางใด สั้นยาวแค่ไหน ทำให้เราเรียบเรียงเรื่องได้ถูกต้องตามลำดับ ทำให้แต่ละหัวข้อย่อยต่อเนื่องกัน วิธีทำ ควรตามขั้นตอนดังนี้
ระดมความคิด โดยเขียนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย หรือประเด็นต่าง ๆ ที่เราคิดว่าจะเขียนลงไปในรายงานของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
คัดเลือกความคิด จากหัวข้อที่เราระดมมาทั้งหมด พิจารณาดูว่า หัวข้อใดจับรวมกันเป็นหัวข้อเดียวกันได้ หัวข้อใดที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตัดออกไป หัวใดที่ยังขาดอยู่ก็เพิ่มเข้ามา แล้วจัดหมวดหมู่
เรียงลำดับหมวดหมู่ความคิด ดูว่าหมวดหมู่ใดควรมาก่อนมาหลัง เรียงตามลำดับความสำคัญ จากนั้นเพิ่มบทนำและบทสรุปเข้าไป ก็จะได้โครงเรื่องตามต้องการ
แก้ไขภาษาตามต้องการ
ขั้นที่ ๕ การเสนอผลงาน
ผู้เขียนรายงานจะต้องนำข้อมูลต่าง ๆ ที่จดบันทึกไว้ มาเขียนเรียบเรียงเข้าให้เป็นระเบียบตามโครงเรื่องที่วางไว้ ใช้ถ้อยคำสำนวนของผู้เขียนเอง เขียนโดยใช้ภาษาที่เป็นทางการ เขียนให้กระชับ อ่านเข้าใจแจ่มแจ้ง ชัดเจน ไม่วกวนสับสน